วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ติดตาม ISON กันต่อด้วยกล้อง SOHO

ตอนนี้ดาวหาง ISON เริ่มสังเกตการณ์ได้ยากขึ้นทุกทีครับ เพราะเริ่มปรากฏเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังสามารถติดตามลุ้นไปกับดาวหางดวงนี้ได้ต่อ แบบเกือบ real time ผ่านกล้องโทรทรรศน์อวกาศโซโฮ (SOHO) ครับ


กล้องโทรทรรศน์อวกาศโซโฮ (SOHO)
[Credit: ESA/NASA]

กล้องโทรทรรศน์อวกาศโซโฮ (SOHO หรือ Solar and Heliospheric Observatory) เป็นหนึ่งในกล้องโทรทรรศน์อวกาศที่มีภารกิจหลักในการเฝ้าสังเกตดวงอาทิตย์จากอวกาศ โดยใช้เทคนิกพิเศษในการสร้างสุริยุปราคาจำลองขึ้น เพื่อสังเกตบรรยากาศชั้นโคโรนาของดวงอาทิตย์ได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญ SOHO มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ครับ ไม่ได้โคจรรอบโลกแบบเดียวกับกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล โดยมีวงโคจรถัดเข้าใกล้ดวงอาทิตย์จากวงโคจรของโลกประมาณ 0.01 หน่วยดาราศาสตร์ (AU)


วงโคจรของกล้องโทรทรรศน์อวกาศโซโฮ (SOHO)
[Credit: ESA/NASA]

กล้องอวกาศโซโฮนั้นติดตั้งอุปกรณ์การสังเกตดวงอาทิตย์ไว้หลายชนิดครับ แต่ที่เราสนใจคือ อุปกรณ์ที่เรียกว่า LASCO หรือ Large Angle and Spectrometric Coronagraph ครับ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้บันทึกภาพการเปลี่ยนแปลงในชั้นโคโรนาของดวงอาทิตย์ มีด้วยกันทั้งหมด 3 ตัวครับ C1 C2 และ C3 โดยแต่ละตัวจะมีขนาดความกว้างของมุมมอง หรือ field of view ไม่เท่ากัน
- กล้อง C1 มีมุมมองกว้าง 1.1 - 3 เท่าของรัศมีดวงอาทิตย์ (0.013 AU จากศูนย์กลางดวงอาทิตย์)
- กล้อง C2 มีมุมมองกล้าง 2 - 6 เท่าของรัศมีดวงอาทิตย์ (0.027 AU จากศูนย์กลางดวงอาทิตย์)
- กล้อง C3 มีมุมมองกล้าง 3.7 - 32 เท่าของรัศมีดวงอาทิตย์ (0.148 AU จากศูนย์กลางดวงอาทิตย์)
อย่างไรก็ตาม กล้อง C1 จะถูกใช้เฉพาะในการศึกษา interferometer ของชั้นโคโรนา ในขณะที่กล้อง C2 และ C3 ใช้ถ่ายภาพในย่านแสงขาวของชั้นโคโรนา ซึ่งทำให้เราจะสามารถมองเห็นดาวหางได้จากกล้อง C2 และ C3 เท่านั้นครับ

ตัวอย่างภาพจากกล้อง LASCO C2
[Credit: ESA/NASA]

ตัวอย่างภาพจากกล้อง LASCO C3
[Credit: ESA/NASA]


เนื่องจากดาวหาง ISON จะโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด ในระยะ 0.012 AU ซึ่งจะอยู่ในมุมมองของทั้งกล้อง C2 และ C3 ดังนั้นเราจึงสามารถใช้ติดตามดาวหาง ISON ได้จากกล้อง 2 ตัวนี้ โดยสามารถติดตามภาพถ่ายล่าสุดได้ที่ เว็บไซต์ของกล้องอวกาศโซโฮ ครับ ภาพจากกล้อง SOHO เหล่านี้จะอัพเดตอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้เราสามารถติดตามภาพดาวหางได้แบบเกือบ real time ครับ

เว็บไซต์ของกล้องอวกาศโซโฮ

ดาวหาง ISON จะเริ่มมองเห็นได้ในมุมมองของกล้อง LASCO C3 ในวันที่ 27 พ.ย. 2013 เวลาประมาณ 3:00 UT ครับ (สำหรับที่เมืองไทยก็ประมาณ 10:00 นาฬิกาครับ)

ตัวอย่างภาพดาวหาง 96P/Machholz1 ในมุมมองของกล้อง LASCO C3


นอกจากนี้บนเว็บไซต์ของ SOHO ยังมีซอฟแวร์ JHelioviewer ซึ่่งเป็นซอฟแวร์ที่สามารถเชื่อมโยงไปยังฐานข้อมูลภาพถ่ายของกล้องอวกาศโซโฮที่ถ่ายเก็บไว้ย้อนหลังไปอีก 15 ปี โดยสามารถเลือกโหลดภาพในช่วงเวลาที่สนใจจากอุปกรณ์ถ่ายภาพต่างๆ แล้วนำมาแสดงเป็นภาพเคลื่อนไหว และบันทึกเป็นไฟล์ VDO ได้อีกด้วยครับ น่าสนใจมาก ท่านใดสนใจสามารถดาวน์โหลดฟรีได้ ที่นี้ครับ

ซอฟแวร์ JHelioviewer


ลองดาวน์โหลดมาใช้ดูนะครับ และติดตามชมภาพดาวหาง ISON ที่กำลังแหวกว่ายผ่านบรรยากาศของดวงอาทิตย์ไปพร้อมๆ กันครับ



วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Outburst ของ ดาวหาง ISON

ขณะนี้ดาวหาง ISON กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่วงโคจรของดาวพุธแล้วครับ และเริ่มตอบสนองต่อพลังงานของดวงอาทิตย์อย่างรุนแรง โดยหัวโคมาของดาวหางเริ่มเกิดการปะทุหรือที่เรียกว่า Outburst ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดาวหางทีความสว่างเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน 




ตำแหน่งของดาวหาง ISON บนวงโคจร ในวันที่ 23 พ.ย. 2013


ถึงวันนี้แม้ว่าการติดตามสังเกตการณ์ดาวหาง ISON ผ่านเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์ในต่างประเทศของผมต้องหยุดลง เนื่องจากดาวหางปรากฏอยู่ใกล้ขอบฟ้ามากเกินกว่าลิมิตของกล้องดูดาวจะถ่ายภาพได้ แต่ก็ยังมีนักดาราศาสตร์สมัครเล่นอีกหลายท่านที่มีกล้องดูดาวเป็นของตนเอง และยังคงติดตามถ่ายภาพดางหางอยู่อย่างต่อเนื่องจนถึงในขณะนี้ ทำให้เราสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงความสว่างของดาวหางได้โดยไม่ขาดช่วง


กราฟการเปลี่ยนแปลงความสว่างของดาวหาง (Visual Magnitude)


ดาวหาง ISON ขณะนี่มีความสว่างถึงแมกนิจูดที่ 4 แล้ว และเริ่มมีรายงานการสังเกตการณ์ด้วยตาเปล่าบ้างแล้ว สำหรับที่เมืองไทยเอง ใครที่อยากเห็นอาจต้องขึ้นไปทางเหนือน่าจะมีโอกาสมากว่านะครับ ตอนนี้ที่เชียงใหม่ก็เริ่มมองเห็นได้กันแล้ว ด้วยตาเปล่าอาจจะลำบากสักหน่อย แต่ถ้าใช้กล้องสองตาช่วยน่าจะสังเกตได้ไม่ยากครับ


กลับมาเรื่องการเกิด Outburst ของดางหางกันนิดนะครับ การเกิด Outburst หรือการปะทุของดาวหางนั้นสามารถสังเกตได้จากอัตราการปลดปล่อยอนุภาคฝุ่นของดาวหางที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปริมาณฝุ่นที่เพิ่มขึ้นจะทำให้หัวโคมาของดาวหางมีขนาดเพิ่มขึ้น และสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ได้มากขึ้น เป็นผลให้ดาวหางมีความสว่างเพิ่มมากขึ้นนั้นเอง โดยปกติแล้วก่อนที่ดาวหางจะเกิดการปะทุขึ้น การปลดปล่อยอนุภาคฝุ่นของดาวหางจะค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นมาระยะหนึ่ง ปริมาณฝุ่นที่สะสมอยู่รอบๆ จะทำให้หัวโคมาของดาวหางขยายขนาดเพิ่มขึ้น จนกระทั้ง...บูม! เกิดการปะทุอย่างรุนแรง มีปริมาณฝุ่นถูกปลดปล่อยออกมาอย่างมากในช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้ดาวหางมีความสว่างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วจากนั้นจะค่อยๆ ลดลงครับ หากการปะทุรุนแรงมาก อาจทำให้หัวโคมาแตกออกเป็นชิ้นๆ ได้ ซึ่งความสว่างก็จะฮวบลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน

อัตราการปลดปล่อยอนุภาคฝุ่นของดาวหางนั้น นักดาราศาสตร์จะอธิบายด้วยค่าพารามิเตอร์ตัวหนึ่งที่เรียกว่า Afρ (ออกเสียงว่า Af-rho) ครับ ด้วยการวิเคราะห์ค่าความสว่างรอบๆ หัวโคมา ร่วมกับการพิจารณา ระยะห่างระหว่างโลก ดาวหาง และดวงอาทิตย์ เพื่ออธิบายผลของค่าความสว่างทีี่เกิดจากการปลดปล่อยอนุภาคฝุ่นรอบๆ หัวโคมาของดาวหาง หากท่านใดสนใจศึกษารายละเอียดในเชิงลึก คลิกที่นี้เลยครับ


กราฟแสดงการเปลี่ยนแปลงค่า Afρ ของดาวหาง ISON ในช่อง 30 วัน
[Credet: Cometas_Obs]


จากกราฟแสดงการเปลี่ยนแปลงค่า Afρ ด้านบน เห็นได้ชัดครับว่า ดาวหาง ISON มีการปลดปล่อยอนุภาคฝุ่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในวันที่ 14 พ.ย. 2013 และค่อยๆ ลดลง จนกระทั่งในวันที่ 20 พ.ย. 2013 ได้มีสัญญาณของการปะทุรอบที่ 2 ขึ้นอีก ไม่รู้ว่าหากดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้นกว่านี้ จะมีการปะทุเกิดขึ้นอีกสักกี่ครั้ง ต้องติดตามต่อไปครับ


วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ดาวหาง ISON ... มุ่งหน้าเข้าสู่วงโคจรของดาวศุกร์

หลังจากติดตามสังเกตการณ์ ดาวหาง ISON ผ่านเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์ iTelescope ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ขณะนี้ดาวหางเคลื่อนผ่านวงโคจรของโลกไปแล้ว และกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่วงโคจรของดาวศุกร์


ตำแหน่งของดาวหาง ISON บนวงโคจร ในวันที่ 7 พ.ย. 2013


การเปลี่ยนแปลงของดาวหาง ISON ตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2013 ถึง วันที่ 2 พ.ย. 2013
(เลือกเฉพาะภาพที่ถ่ายจากกล้องขนาด 0.43 เมตร และใช้เวลาเปิดหน้ากล้องเท่ากัน)

ถึงแม้ว่าความสว่างของดาวหางจะเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังน้อยกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าถึงประมาณ 2 เมกนิจูด ภาพด้านล่างนี้ค่าความสว่างถูกวิเคราะห์โดยซอฟแวร์  Astrometrica, FoCAs และ Kphot เพื่อประมาณค่าความสว่างเที่ยบเท่ากับการสังเกตด้วยตา (visual magnitude) โดยแถบสีส้มเป็นช่วงเวลาที่ดาวหางปรากฏอยู่สูงจากขอบฟ้าต่ำกว่า 20 องศา ซึ่งต่ำกว่าลิมิตรของกล้องดูดาวที่สามารถถ่ายภาพได้

กราฟการเปลี่ยนแปลงความสว่างของดาวหาง ISON เทียบกับค่าที่คาดการณ์ไว้
จาก Minor Planet Centor (MPC)

รายงานการสังเกตดาวหางแบบวันต่อวัน

วันที่ 31 ต.ค. 2013
สังเกตการณ์ด้วยกล้อง Planewave CDK ขนาด 0.43 เมตร (17") ที่ New Mexico ดาวหางอยู่ในกลุ่มดาวสิงโต มีความสว่าง 9.4 เมกนิจูด ปรากฏหางทอดยาวออกไป ประมาณ 20 อาร์คนาที (60 อาร์คนาที = 1 องศา) ทิศทางของหางอยู่ในแนวเดียวกับทิศทางการเคลื่อนที่ของดาวหาง

ตำแหน่งดาวหางที่ New Mexico จากซอฟแวร์ Stellarium



วันที่ 2 พ.ย. 2013
สังเกตการณ์ด้วยกล้อง Planewave CDK ขนาด 0.43 เมตร (17") ที่ New Mexico ดาวหางอยู่ในกลุ่มดาวสิงโต มีความสว่างเท่าเดิม 9.4 เมกนิจูด ปรากฏหางทอดยาวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ประมาณ 24 อาร์คนาที (60 อาร์คนาที = 1 องศา) ทิศทางของหางอยู่ในแนวเดียวกับทิศทางการเคลื่อนที่ของดาวหาง

ตำแหน่งดาวหางที่ New Mexico จากซอฟแวร์ Stellarium



วันที่ 7 พ.ย. 2013
สังเกตการณ์ด้วยกล้อง Takahashi Epsilon ขนาด 0.25 เมตร ที่ New Mexico ดาวหางเคลื่อนมาอยู่ในกลุ่มดาวหญิงสาว มีความสว่างเพิ่มขึ้นเป็น 8.8 เมกนิจูด ปรากฏหางทอดยาวเท่าเดิม ประมาณ 24 อาร์คนาที (60 อาร์คนาที = 1 องศา) ทิศทางของหางอยู่ในแนวเดียวกับทิศทางการเคลื่อนที่ของดาวหาง

ตำแหน่งดาวหางที่ New Mexico จากซอฟแวร์ Stellarium



อย่างไรก็ตามยังไม่พบสัณญาณของการแตกตัวของนิวเคลียส (Disintegration) อย่างที่มีการคาดการณ์ไว้ ซึ่งบางที่อาจต้องงรอให้ดาวหางเข้าใกล้ดาวอาทิศย์มากกว่านี้อีก แต่การติดตามสังเกตด้วยกล้องโทรทรรศน์ในต่างประเทศนี้ คงทำได้แค่เพียงวันที่ 12 พ.ย. 2013 เท่านั้น เนื่องจากดาวหางจะปรากฏอยู่สูงจากขอบฟ้าต่ำกว่า 20 องศา ซึ่งต่ำกว่าลิมิตการถ่ายภาพของกล้องที่ผมใช้งาน ต้องรอหลังจากดาวหางโคจรออกมาจากดาวอาทิตย์อีกครั้งหนึ่ง (ถ้ารอดมาได้นะ...) ถึงจะเริ่มภายภาพได้อีกครั้ง